วันที่ 20 เมษายน พ.ศ.2541 เวลา 10.00 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจสภ.อ.ละหานทราย ได้รับแจ้งจากนายทวีและนางวิรัช นันทวงษ์ อยู่บ้านเลขที่ 21 หมู่ที่ 7 บ้านหนองด่าน ตำบลสำโรงใหม่ อำเภอละหานทราย จังหวัดบุรีรัมย์ ว่าหลานสาวชื่อด.ญ.กุลธิดา ใจกล้า อายุ 2 ขวบ 3 เดือน ซึ่งพ่อและแม่ทำงานเย็บผ้าอยู่ที่กรุงเทพฯ ได้หายออกจากบ้านไปเมื่อตอนสายๆของวันนี้ โดยมีคนเห็นว่าหลานสาวได้ไปซื้อขนมที่ร้านค้า กับชายหนุ่มที่อยู่ในอาการมึนเมา แล้วนั่งรถจักรยานยนต์หายไปทางท้ายหมู่บ้าน เกรงว่าจะถูกล่อลวงไปทำมิดี ขอให้เจ้าหน้าที่ตำรวจช่วยติดตามหาตัวด้วย
เจ้าหน้าที่ตำรวจส่วนหนึ่งได้ไปซุ่มอยู่บริเวณท่ารถในตลาด และพบว่ามีชายหนุ่มท่าทางน่าสงสัยอยู่ในสภาพมึนเมา เดินถือกระเป๋าพะรุงพะรังกำลังจะขึ้นรถประจำทาง คล้ายหนีใครมาอย่างมีพิรุธ จึงเข้าทำการตรวจค้น ชายคนดังกล่าวเมื่อรู้ตัวว่าถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจเรียกตรวจ ก็มีอาการหน้าซีดอย่างเห็นได้ชัด จากการตรวจสอบพบว่าที่ขากางเกงและชายเสื้อมีรอยเปื้อนเลือด จึงนำตัวมาสอบสวนที่โรงพัก ทราบชื่อในเวลาต่อมาคือ นายอำไพ ใสโพธิ์ อยู่บ้านน้อยหนองหว้า หมู่ 8 ตำบลสำโรงใหม่ อำเภอละหานทราย เบื้องต้นให้การปฏิเสธและให้การวกวน
หลังจากพยายามเค้นหาความจริงอยู่พักหนึ่ง สุดท้ายนายอำไพก็เปิดปากยอมรับสารภาพว่าเป็นผู้ลงมือข่มขืนและฆ่า ด.ญ.กุลธิดาจริง โดยบอกว่าตนเพิ่งแต่งงานมาได้ 2 วัน แต่เนื่องจากตนเป็นคนมีความต้องการสูงมาก เป็นเหตุให้เมียทนรับไม่ไหว หอบเสื้อผ้าหลบหนีไป ตนกลุ้มใจมากจึงไปนั่งดื่มเหล้าที่ตลาด พอเมาได้ที่แล้วเกิดอารมย์กลัดมันขึ้นมา เห็นด.ญ.กุลธิดาเดินเตาะแตะมาพอดี จึงเข้าไปหลอกล่อพาไปซื้อขนม จากนั้นพาขึ้นรถจักรยานยนต์ไปยังป่าละเมาะท้ายหมู่บ้าน แล้วพยายามลงมือข่มขืน แต่เด็กร้องไห้ด้วยความเจ็บปวด ตนกลัวชาวบ้านจะได้ยินเสียงแล้วเข้ามาเห็น จึงจับขาเด็กเหวี่ยงฟาดไปที่จอมปลวกจนสลบ แล้วจึงลงมือข่มขืนจนสำเร็จความใคร่ เสร็จแล้วเด็กได้ฟื้นขึ้นมาและส่งเสียงร้องไห้อีก ตนเห็นที่อวัยวะเพศเด็กมีเลือดไหลออกมามาก กลัวจะมีคนมาเห็นความผิดที่ตนก่อขึ้น จึงจับขาเด็กเหวี่ยงฟาดไปที่จอมปลวกอีกครั้งจนเด็กแน่นิ่งไป แล้วหยิบท่อนไม้ที่ตกอยู่ในบริเวณนั้น ตีซ้ำเข้าที่ศรีษะจนขาดใจตาย แล้วรีบหนีออกมาจากที่เกิดเหตุ กลับเข้าบ้านเก็บเสื้อผ้าแล้วมาเตรียมขึ้นรถที่ตลาดเพื่อหลบหนีความผิด แต่มาถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าจับกุมได้เสียก่อน จึงหมดโอกาสที่จะไปก่อกรรมชั่วกับใครได้อีก
ต่อมาเวลา 15.30 น.วันเดียวกัน เจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำตัวนายอำไพไปทำแผนยังที่เกิดเหตุ เพื่อประกอบคำรับสารภาพ ชาวบ้านนับร้อยที่ไปมุงดูการทำแผน ได้พยายามฝ่าวงล้อมของเจ้าหน้าที่ตำรวจ เข้าไปรุมประชาทัณฑ์นายอำไพจนสะบักสบอม และเรียกร้องให้ประหารชีวิตสถานเดียว เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องใช้ความพยายามนำตัวนายอำไพ หลุดพ้นจากบาทาชาวบ้านกลับมาคุมขังที่สภ.อ.ละหานทรายอย่างทุลักทุเล
หลังการสอบสวนเสร็จสิ้น ได้ขออำนาจศาลฝากขังนายอำไพไว้ที่เรือนจำจังหวัดบุรีรัมย์ และทำการสรุปสำนวนการสอบสวนและพยานหลักฐานต่างๆ ส่งมอบให้อัยการเพื่อฟ้องร้องดำเนินคดีนายอำไพ ต่อศาลจังหวัดบุรีรัมย์
ผลการพิจารณาของศาลชั้นต้น ได้ตัดสินให้ประหารชีวิต และได้ส่งตัวมาควบคุมที่เรือนจำกลางบางขวาง ข.ช.อำไพได้ยื่นอุทธรณ์ต่อศาลเพื่อขอลดหย่อนโทษ ผลการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ ได้ตัดสินยืนตามศาลชั้นต้น ข.ช.อำไพได้ยื่นฎีกาต่อศาลเพื่อขอลดหย่อนโทษ ผลการพิจารณาของศาลฎีกามีดังนี้
คดีคงมีปัญหาข้อกฎหมายต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยเป็นข้อแรกว่า วิธีการที่จำเลยฆ่าผู้ตายเป็นการกระทำโดยทารุณโหดร้ายหรือไม่ ในปัญหาข้อนี้แม้จำเลยจะมิได้ยกขึ้นอุทธรณ์ แต่เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย จำเลยจึงยกขึ้นฎีกาได้ ได้ความตามทางพิจารณาว่าหลังเกิดเหตุ พนักงานสอบสวนและเจ้าพนักงานแพทย์โรงพยาบาลละหานทราย ได้ร่วมกันชันสูตรพลิกศพผู้ตาย พบว่าผู้ตายถูกไม้ตีที่ศรีษะจนกะโหลกแตกละเอียดและยุบ และที่เนินดินจอมปลวกเหนือศพผู้ตายมีรอยยุบ ลักษณะถูกศรีษะคนกระแทก แต่ไม่ได้ความชัดเจนว่าจำเลยได้กระทำการทารุณโหดร้ายผู้ตายอย่างไรบ้าง เพราะโจทก์ไม่มีประจักษ์พยานรู้เห็น
การที่จำเลยจับศรีษะผู้ตายกระแทกกับเนินดินจอมปลวก และใช้ไม้ตีศรีษะผู้ตายจนกะโหลกแตกละเอียด น่าเชื่อว่าจำเลยกระทำไปโดยมีเจตนาจะทำให้ผู้ตายถึงแก่ความตายในทันที เพื่อปกปิดความผิดอื่นของตนเท่านั้น มิใช่เพื่อให้ผู้ตายได้รับความเจ็บปวดทรมานจนกระทั่งขาดใจตาย จึงถือไม่ได้ว่าเป็นการฆ่าผู้ตายโดยกระทำทารุณโหดร้าย ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 289(5) ดังที่ศาลล่างทั้งสองพิจารณา ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น แต่อย่างไรก็ตามคดีนี้คงฟังเป็นยุติได้ว่า จำเลยฆ่าผู้ตายเพื่อปกปิดความผิดอื่นของตน อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 289(7) ซึ่งมีระวางโทษประหารชีวิตสถานเดียวเช่นเดิม
จึงมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยข้อต่อไปว่า กรณีมีเหตุสมควรลดโทษประหารชีวิตให้จำเลย ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 ประกอบมาตรา 52 คงเหลือโทษจำคุกสถานเดียวหรือไม่ ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้ว เห็นว่า แม้คดีนี้จำเลยจะให้การรับสารภาพ แต่คำรับสารภาพของจำเลยอันจะถือเป็นเหตุบรรเทาโทษ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 ได้นั้น จะต้องเป็นกรณีที่ให้ความรู้แก่ศาลอันเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ศาลจึงจะพิจารณาลดโทษที่ลงแก่จำเลยได้
การพิจารณาของศาลชั้นต้นในคดีนี้ปรากฏว่าโจทก์มีพยานหลักฐาน ทั้งพยานบุคคล พยานวัตถุ และพยานพฤติเหตุแวดล้อมแน่นหนามั่นคง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เลือดซึ่งติดอยู่ที่กางเกงชั้นในตัวที่จำเลยสวมใส่ในขณะที่จำเลยถูกจับกุมใน วันเกิดเหตุ แม้ผู้ตายและจำเลยจะมีเลือดหมู่เอบีเช่นเดียวกัน แต่ผู้ชำนาญการพิเศษสถาบันนิติเวชวิทยา สำนักงานแพทย์ใหญ่ กรมตำรวจ ได้ตรวจสารพันธุกรรมแล้ว พบว่าเลือดที่ติดอยู่ที่กางเกงชั้นในของจำเลยดังกล่าวมี DNA HLA DQ ชนิด 1.2, 1.2 ตรงกับผู้ตาย จึงฟังได้ว่าเป็นเลือดของผู้ตาย การที่กางเกงชั้นในของจำเลยมีเลือดของผู้ตายมาติดอยู่ได้เช่นนี้ เป็นข้อบ่งชี้ให้เห็นว่าคนร้ายที่พาผู้ตายไปกระทำชำเราจนช่องคลอดฉีกขาด และฆ่าผู้ตายจะเป็นใครอื่นไปไม่ได้นอกจากจำเลย
แม้โจทก์ไม่มีประจักษ์พยานรู้เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ศาลก็ได้อาศัยพยานหลักฐานของโจทก์ดังกล่าว เป็นข้อสำคัญในการวินิจฉัยชี้ขาดข้อเท็จจริงและพิพากษาลงโทษจำเลยได้ โดยไม่มีความจำเป็นต้องอาศัยคำรับสารภาพของจำเลยอีก ทั้งตามรูปคดีที่โจทก์นำสืบก็มีเหตุผลน่าเชื่อว่า จำเลยได้ให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวนเพราะจำนนต่อพยานหลักฐาน อันเป็นรอยเลือดของผู้ตายที่ติดอยู่ตามร่างกาย และเสื้อผ้าของจำเลยชุดที่จำเลยสวมใส่อยู่ในขณะถูกจับกุมภายหลังเกิดเหตุ ใหม่ๆ หาใช่รับสารภาพเพราะสำนึกในความผิดไม่ เพราะได้ความจากคำเบิกความของพนักงานสอบสวนพยานโจทก์ว่า วันเกิดเหตุหลังจากพยานได้รับแจ้งว่ามีคนร้ายลักพาตัวผู้ตายแล้ว พยานได้แจ้งให้เจ้าพนักงานตำรวจสายตรวจทราบ ต่อมาเจ้าพนักงานตำรวจได้ควบคุมตัวจำเลยในฐานะผู้ต้องสงสัยมามอบให้พยานสอบ สวน
ซึ่งศาลฎีกาได้ตรวจดูแล้ว ตามบันทึกดังกล่าวระบุว่า จำเลยซึ่งอยู่ในอาการมึนเมา ได้ให้การว่าจำเลยพาตัวผู้ตายไปจริง แต่จำเลยได้ปล่อยตัวผู้ตายไปแล้วที่ริมหมู่บ้าน โดยจำเลยไม่ได้ทำอะไรผู้ตาย และได้ความจากคำเบิกความของพนักงานสอบสวนพยานโจทก์ต่อไปอีกว่า ต่อมาพยานได้ตรวจร่างกายจำเลย พบว่าที่อวัยวะเพศจำเลยมีคราบเลือดติดอยู่ และที่กางเกงชั้นในของจำเลยก็มีคราบเลือดติดอยู่ พยานได้สอบสวนอีกจำเลยจึงยอมให้การรับสารภาพ ทั้งตามรูปคดีที่โจทก์นำสืบก็ไม่ปรากฏว่า พนักงานสอบสวนได้รวบรวมพยานหลักฐานต่างๆ อันเป็นพยานวัตถุและพยานแวดล้อมโดยอาศัยคำรับสารภาพของจำเลยแต่อย่างใด ดังนี้ คำรับสารภาพของจำเลยทั้งในชั้นสอบสวนและชั้นพิจารณาในกรณีเช่นนี้ ไม่ถือว่าเป็นการให้ความรู้แก่ศาล อันเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา จึงไม่มีเหตุบรรเทาโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 อันจะพึงลดโทษให้แก่จำเลยได้ สำหรับคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 426/2540 ซึ่งจำเลยอ้างมาในฎีกานั้น ข้อเท็จจริงไม่ตรงกับคดีนี้ ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาลงโทษประหารชีวิตจำเลยโดยไม่ลดโทษให้จำเลยนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น พิพากษายืนตามศาลล่างทั้งสอง
เมื่อเป็นนักโทษประหารเด็ดขาดแล้ว น.ช.อำไพได้ทำหนังสือทูลเกล้าขอพระราชทานอภัยโทษตามสิทธิ์ และได้รอผลการพิจารณาอยู่ที่หมวดควบคุมนักโทษประหารแดน 1
วันพฤหัสบดีที่ 23 สิงหาคม พ.ศ.2544 เวลา 11.00 น. ข้าพเจ้าได้รับแจ้งอย่างเป็นความลับว่า จะมีการประหารชีวิตนักโทษเด็ดขาดจำนวน 1 ราย ข้าพเจ้าจึงไปจัดเตรียมสิ่งของที่จะต้องใช้ และสวดมนต์ไหว้พระทำจิตใจให้สงบ รอเวลาที่จะเบิกตัวนักโทษมาดำเนินการตามขั้นตอนการประหารต่อไป
เวลา 16.10 น. ข้าพเจ้าได้รับแจ้งชื่อนักโทษที่จะต้องเข้าไปเบิกตัวคือ น.ช.อำไพ ใสโพธิ์ ข้าพเจ้าและพี่เลี้ยงอีก 2 นายพร้อมด้วยหัวหน้าฝ่ายควบคุมกลาง ได้เข้าไปเบิกตัวที่หมวดควบคุมนักโทษประหารแดน 1 เมื่อเจ้าหน้าที่ประจำตึกขังไขกุญแจเปิดประตู นักโทษที่อยู่ภายในต่างเงียบเสียงรอฟังว่า ใครจะเป็นผู้โชคร้ายที่ถูกเรียกชื่อในวันนี้บ้าง เมื่อไปถึงห้องที่ใช้คุมขังน.ช.อำไพ “หัวหน้าฝ่ายควบคุมกลางได้ขานชื่อ “อำไพ ใสโพธิ์ ออกมาข้างนอกด้วย” ข้าพเจ้าเห็นน.ช.อำไพซึ่งดูเด็กกว่าทุกคนในห้องนั้น ลุกยืนขึ้นพร้อมกับยกมือไหว้ไปรอบห้องแล้วกล่าวว่า “ผมลาก่อนครับ ขอให้ทุกคนโชคดี อย่าโดนอย่างผมนะครับ” มีเสียงตอบมา “ไปที่ชอบโว้ยไอ้น้อง” “นึกถึงพระถึงเจ้าไว้” “แล้วจะบอกที่บ้านให้ทำบุญไปให้” ฯลฯ แล้วน.ช.อำไพก็เดินมาที่ประตูห้อง ข้าพเจ้ารีบคว้าแขนดึงตัวให้พ้นออกมาจากห้อง สวมกุญแจมือและค้นตัวตามระเบียบ
เมื่อนำตัวมาถึงหมวดผู้ช่วยเหลือฯ เจ้าหน้าที่ตำรวจจากกองทะเบียนประวัติอาชญากร และเจ้าหน้าที่ฝ่ายทะเบียนประวัติผู้ต้องขัง เข้ามาทำการพิมพ์ลายนิ้วมือ ตรวจสอบตำหนิแผลเป็นและประวัติบุคคลตามระเบียบ สารวัตรโกมลได้ถามว่า “อำไพ คุณนึกยังไงถึงได้ข่มขืนเด็ก” น.ช.อำไพตอบว่า “ผมไม่ได้ตั้งใจครับ ช่วงนั้นผมเมาเลยขาดสติไปชั่ววูบ ปกติแล้วเวลาผมเมาผมจะมีอารมย์ทันที ผมมีเมียทั้งหมด 3 คน พอดีเมียผมไม่อยู่เลยสักคน เห็นเด็กเดินมาเลยหน้ามืดไปหน่อยครับ” ข้าพเจ้าถามว่า “แล้วไม่นึกสงสารเด็กบ้างหรือยังไง เด็กที่ตายตัวขนาดไหนหรือ” น.ช.อำไพยกมือแสดงความสูงของเด็ก แล้วพูดว่า “แค่นี้ครับ ตอนนั้นผมเมามากไปหน่อย” ข้าพเจ้าเห็นแล้วให้รู้สึกเศร้าใจ พี่เลี้ยงอีกนายถามว่า “แล้วหลอกเด็กไปยังไง เด็กไม่ร้องไห้ให้คนช่วยหรือ”
น.ช.อำไพเล่าให้ฟังว่า “ผมซื้อขนมให้เด็กก่อน แล้วบอกว่าจะพาไปเที่ยว เด็กดีใจยอมให้ผมอุ้มขึ้นนั่งรถ พอไปถึงที่เปลี่ยวผมก็จอดรถ อุ้มเด็กเดินเข้าไปในป่าข้างทาง บอกเด็กว่าจะพาเข้าไปเดินเล่น เมื่อถึงข้างจอมปลวกผมได้วางเด็กลง แล้วถอดเสื้อผ้าให้เด็ก เด็กก็ยังไม่รู้ว่าผมจะทำอะไรแก มองดูผมตาปริบๆ ผมจับให้นอนลงเด็กก็นอนลงอย่างว่าง่าย แต่พอผมทำกับแก เด็กคงจะเจ็บร้องไห้ลั่นขึ้นมา ผมเอามืออุดปากไว้ แต่เด็กดิ้นไม่หยุด ผมเลยจับตัวฟาดกับจอมปลวกจนสลบ แล้วผมรีบจัดการให้เสร็จ เมื่อเสร็จแล้วเด็กฟื้นและร้องไห้จ้าขึ้นมา ไม่รู้ว่าผีห่าตัวใด ดลใจให้ผมจับเด็กฟาดกับจอมปลวกอีกครั้ง แล้วเอาไม้หวดเด็กจนตาย ผมยอมรับว่าผมมันเป็นคนระยำมักมากในกาม มีเมียกี่คนก็ทนรับผมไม่ไหว จะเอาตัวผมไปฆ่าแกงที่ไหนก็เชิญเถอะครับ”
ข้าพเจ้าพูดว่า “แล้วไม่โดนชาวบ้านเหยียบบ้างหรือไง ทำไมถึงได้โหดเหลือเกิน โชคดีที่พวกผมไม่มีหน้าที่แก้แค้นให้ใคร แต่ที่ต้องทำกับอำไพในวันนี้ เป็นการทำตามหน้าที่เท่านั้น อย่าได้โกรธเคืองพวกผมนะ”
น.ช.อำไพ “ผมโดนกระทืบแทบตาย ชาวบ้านบ้าง ตำรวจบ้าง พวกในห้องขังด้วยกันบ้าง เข้าไปที่บุรีรัมย์ก็โดนอีก(หมายถึงเรือนจำ) แต่ผมไม่โกรธพวกเขาหรอก ถ้าเป็นผมๆก็คงไม่ปล่อยไว้เช่นกัน แค่นี้ยังไม่สาสมกับความผิดของผมหรอกครับ”
เมื่อพิมพ์ลายนิ้วมือเสร็จ เวรผู้ใหญ่ได้เข้ามาอ่านคำสั่งจากสำนักนายกรัฐมนตรีให้ฟัง แล้วให้เซ็นทราบในคำสั่งนั้น เสร็จแล้วให้ทำพินัยกรรมและเขียนจดหมาย น.ช.อำไพได้เขียนจดหมายลาทางบ้านฉบับหนึ่ง จากนั้นข้าพเจ้าได้ยกอาหารมื้อสุดท้ายมาให้ ในวันนั้นมีแกงเผ็ดหมู ข้าวเปล่า และขนมข้าวเหนียวถั่วดำ น.ช.อำไพได้ตักกินไปอย่างละหน่อยแล้ววางช้อนลง พร้อมกับพูดว่า “อยากจะกินแต่กินไม่ลง เฮ้อ! เพราะเหล้าแท้ๆไม่น่าเลย”
ต่อจากนั้นได้นำตัวไปฟังเทศนาธรรมจากพระสงฆ์ ซึ่งได้กล่าวถึงผลกรรมและการไม่อาฆาตจองเวร พร้อมกับแนะนำทางสงบให้น.ช.อำไพ โดยให้นึกถึงแต่พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ไว้ เสร็จแล้วข้าพเจ้านำตัวไปสู่ห้องประหารทันที
ระหว่างทางข้าพเจ้าได้ถามไปว่า “อำไพอยากกินอะไรพิเศษไหม พรุ่งนี้ผมจะทำบุญไปให้” น.ช.อำไพ “ก็ดีครับหัวหน้า ผมขอประเภทลาบน้ำตก อย่าลืมข้าวเหนียวด้วยนะครับ แต่จะถึงผมหรือเปล่าก็ไม่รู้”
เมื่อผ่านศาลเจ้าพ่อเจตคุปต์ ได้ให้น.ช.อำไพแวะเข้ากราบลา แล้วพาเดินต่อไปจนถึงศาลาเย็นใจ ข้าพเจ้าได้ให้นั่งที่เก้าอี้ขาว ให้พนมมือกำดอกไม้ธูปเทียน พี่เลี้ยงอีกนายใช้ผ้าดิบผูกปิดตา แล้วช่วยกันประคองเข้าห้องสู่ประหาร โดยนำไปผูกมัดตัวที่หลักประหารหลักที่หนึ่ง ระหว่างผูกมัดน.ช.อำไพได้พูดเป็นครั้งสุดท้าย “หัวหน้าครับ ฝากเตือนคนทั่วไปด้วยนะครับ เหล้ายาเป็นสิ่งไม่ดี เป็นต้นเหตุของความผิดหลายๆอย่าง ถ้าใครเลิกได้ก็ขอให้เลิกซะ แต่ถ้าเลิกไม่ได้ ก็ขอให้กินอย่างมีสติ อย่าให้เหมือนอย่างผมเลยนะครับ” ข้าพเจ้าตอบไปว่า “ถ้าผมมีโอกาสผมจะบอกให้นะ” เสร็จแล้วได้ทำการตั้งเป้าตาวัว เอาทรายแห้งโรยรอบหลักประหาร แล้วแจ้งให้หัวหน้าชุดประหารทราบ
พลเล็งปืนเข้าทำหน้าที่บรรจุกระสุนและตั้งศูนย์ปืน เพชฌฆาตมือหนึ่งเข้าตรวจสอบอีกครั้ง เมื่อพร้อมแล้วธงแดงได้สะบัดลงทันที “ปัง ปังๆๆๆๆๆๆ” รวมทั้งสิ้น 8 นัด ทำการประหารเมื่อเวลา 17.05 น. เมื่อเสียงปืนสงบ ข้าพเจ้าได้ยินเสียงครางแผ่วๆอยู่พักหนึ่งแล้วเงียบเสียงไป เมื่อครบ 3 นาที ได้เข้าไปตรวจดูพร้อมแพทย์ ปรากฏว่าน.ช.อำไพได้สิ้นใจไปแล้ว หัวหน้าชุดประหารจึงสั่งให้นำร่างลงจากหลัก จับให้นอนคว่ำหน้าไว้ เจ้าหน้าที่พิมพ์ลายนิ้วมือได้เข้ามาทำหน้าที่ต่อไป
CR: http://www.ohochill.com/29396